หากฉันบินได้…
หากฉันบินได้…ประโยคนี้เป็นจริงเสมอในความฝันของผม (ในวัยเด็ก)
ผมยังจำได้เสมอว่าสมัยเด็กๆ ผมจะฝันว่าตัวเอง บิน (จริงๆ คือ ‘ลอย’) ได้เหมือนมนุษย์อวกาศอยู่บ่อยๆ
หลายครั้งที่ลอยอยู่ในบ้าน ลอยไปชนเพดาน ลอยไปเรื่อยๆ แบบไร้แรงโน้มถ่วงและไร้การควบคุม
มันเป็นความฝันที่ให้ความรู้สึกปลดปล่อยและเป็นอิสระ
แต่…ผมจำไม่ได้แล้วว่าฝันแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร
อาจเป็นเพราะว่า พอโตขึ้นความรู้สึกปลดปล่อยและมีอิสระค่อยๆ ลดลงตามภาระหน้าที่และความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ความฝันนั้นจึงค่อยๆ เลือนหายไป…
จนกระทั่งไม่นานมานี้ ผมได้พบกับฝันนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกปลดปล่อยและเป็นอิสระ หวนกลับมาเวลาที่ผมไปดำน้ำ (scuba diving)
ตอนที่อยู่ในน้ำ ผมรู้สึกเหมือนตัวเอง ‘ลอย’ ได้ เพราะผมสามารถอยู่ในท่าใดก็ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงแรงโน้มถ่วงของโลก
จะนอน จะนั่ง หรือแม้กระทั่งกลับหัวได้โดยที่เลือดไม่ไหลลงศีรษะ
ภาวะเสมือนไร้แรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นใต้น้ำ ให้ความรู้สึกเป็นอิสระอย่างแท้จริง ผมคิดว่านกกับปลา ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
หากเปรียบการดำน้ำเสมือนการท่องโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลของมหาสมุทร
ใต้ผิวน้ำลึกลงไปกว่าสิบเมตร มีสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลทั้งเล็กจิ๋วและใหญ่ยักษ์ กำลังแหวกว่ายกลมกลืนไปกับความงดงามของธรรมชาติใต้ท้องทะเล
โลกใต้น้ำบอกผมว่า ธรรมชาติเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ และมนุษย์เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆท่ามกลางสิ่งมีชีวิตนับล้านสปีซีส์บนโลกใบนี้
ส่วนโลกที่เรารู้สึกว่ากว้างใหญ่ไพศาล แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงดาวเคราะห์ หนึ่งในล้านล้าน…ล้านดวงที่นับไม่ถ้วน ซึ่งอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เหมือนกับโลกของเรา
การตระหนักรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของโลกและจักรวาลได้สะกิดเตือนผมว่า มีอะไรอีกมากมายบนโลกใบนี้ และจักรวาลแห่งนี้ที่เรายังไม่รู้ และมนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ากับที่เราคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เราเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆ ของธรรมชาติ โลกและจักรวาลไม่ได้หมุนรอบตัวเรา
การดำน้ำที่พาความฝัน ความรู้สึกปลดปล่อยและเป็นอิสระในวัยเด็กกลับมา ทำให้ผมสัมผัสถึงการล่องลอยอย่างไร้แรงโน้มถ่วงอีกครั้ง
ความรู้สึกปลดปล่อยและเป็นอิสระที่เกิดขึ้น ทำให้ต่อมความตื่นรู้และตื่นเต้นในตัวผมทำงาน
เมื่อต่อมความตื่นรู้และตื่นเต้นในตัวทำงาน เราจะอยากเรียนรู้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด และจะสนุกสนานไปกับชีวิต
ผมคิดว่า…หากวันหนึ่งเราเรียนรู้และเห็นโลกมากพอ เราจะเข้าใจโลกและธรรมชาติ
มนุษย์เรามีเวลาอยู่บนโลกเฉลี่ย 20,000 วัน
ผม (ตอนที่กำลังเขียนบทความนี้) ใช้ชีวิตผ่านมาแล้ว 12,107 วัน
เท่ากับว่าผมมีเวลาอยู่บนโลกอีกแค่ 7,893 วัน
คงน่าเสียดายถ้าผมจะใช้วันเวลาที่เหลืออยู่ ซึ่งค่อยๆ ลดน้อยลงไปทุกวันอย่างไร้ชีวิตชีวา
โลก ชีวิต และธรรมชาติยังมีอีกหลายเรื่องรอให้เราเรียนรู้และเข้าใจ
จงใช้วันเวลาที่มีอย่างมีคุณค่า
ออกบินทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
และสนุกสนานกับมันอย่างที่สุด
ถึงแม้แรงโน้มถ่วงจะมีอยู่จริง แต่อย่าให้ชีวิตถูกเหนี่ยวรั้งด้วยแรงโน้มถ่วงในใจจนไร้อิสรภาพ
นี่คือข้อความที่ผมตั้งใจบอกตัวเองในวันที่เวลาของผมและเราทุกคนกำลังนับถอยหลัง